เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๘ ส.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เวลาหลวงตาท่านพูด ถ้าเราไม่มีศาสนา ไม่มีธรรมะ เราจะอยู่กันได้อย่างไร เราก็อยู่กันด้วยความทุกข์ยาก แต่เราไม่เห็นผลของศาสนาไง ศีลธรรม จริยธรรม มันเกิดมาจากศาสนานะ เกิดมาจากศาสนากล่อมเกลาหัวใจ กล่อมเกลาให้สังคมประเพณีวัฒนธรรม ให้คนมีจิตใจอ่อนโยน มีการให้อภัยต่อกัน มีการอะลุ่มอล่วยต่อกัน

แต่นี้การให้อภัยต่อกัน การอะลุ่มอล่วยต่อกัน มันก็เป็นจริตนิสัยของคน มีมากมีน้อยขนาดใด แต่พอศีลธรรม จริยธรรม เป็นอย่างนั้นเห็นไหม มันก็มีพวกที่แอบแฝง แสดงกิริยาออกอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงของเขา เป็นอย่างนั้นไหม ถ้าความเป็นจริงของเขาไม่เป็นอย่างนั้น เราถึงต้องมีหลักเกณฑ์ของเราไง เราต้องมีจุดยืนของเรา ถ้าเรามีจุดยืนของเรา เห็นไหม ความเข้มแข็งของใจ คนเรามีร่างกายและจิตใจ

บางคนร่างกายแข็งแรงมาก แต่จิตใจอ่อนแอ พอจิตใจอ่อนแอ ปรนนิบัติสังคมขึ้นมานี่ จะล้มลุกคลุกคลาน บางคนเห็นไหม คนพิการ คนที่เขาช่วยตัวเองไม่ได้เลย แต่จิตใจเขาเข้มแข็ง เขาสามารถดำรงชีวิตได้ เขาสามารถเป็นคติตัวอย่างให้คนที่ร่างกายสมบูรณ์ เอาเขาเป็นคติตัวอย่างได้ เพราะเหตุใดล่ะ เพราะจิตใจเขาเข้มแข็ง

คำว่าจิตใจเข้มแข็งจะฝึกฝนกันอย่างไร เราจะฝึกอย่างไรเห็นไหม มันก็เป็นเวรเป็นกรรมเหมือนกัน เพราะทุกคนบอกว่า สรุปแล้ว ใครมาถามปัญหาอะไรก็สรุปลงที่เวรที่กรรมๆ ที่เวรที่กรรม หมายถึง พันธุกรรม หมายถึงสิ่งที่จะมาเป็นปัจจุบันนี้ ถ้าสิ่งที่เป็นปัจจุบันนี้เห็นไหม เราเริ่มต้นตั้งแต่ เรามีลูกออกมา เราพยายามจะเลี้ยงกล่อมเกลี้ยงให้ลูกเราเป็นคนดี เราพยายามดูแลรักษาขึ้นมา

ทำไมเราไม่สมความปรารถนาล่ะ ตั้งแต่ปัจจุบันนี้ เราก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว แล้วมันยังไม่สมความปรารถนา เป็นเพราะเหตุใด มันมีเวรมีกรรมกันมา คำว่าเวรกรรม เป็นพันธุกรรม อย่างเป็นพันธุกรรมทางพืช พืชชนิดนั้น ปลูกไปยังไง มันก็เป็นอย่างนั้น แต่เราก็พยายามดัดแปลง เราก็พยายามแก้ไข ให้มันดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในพุทธศาสนาสอนอย่างนั้น แต่มันมีกรรมเก่ากรรมใหม่เห็นไหม ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรานะ ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์

“ภิกษุทั้งหลายทั้งเธอและเรา รวมเป็น ๖๐ องค์ พ้นบ่วงที่เป็นโลกที่เป็นทิพย์ เธอจงอย่าไปซ้อนทางกัน เพราะโลกเขาเร่าร้อนนัก โลกเขาต้องการธรรมะ”

แต่เวลาเทวทัตบวชเข้ามาแล้ว เป็นญาติด้วย เป็นลูกพี่ลูกน้องด้วย แล้วมาอยู่ในพุทธศาสนาด้วยเห็นไหม เธอจงอย่าไปซ้อนทางกัน เพื่อไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ เพื่อช่วยเหลือเจือจานให้สังคมเขาร่มเย็นเป็นสุข แต่เทวทัตก็บวชอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ ทำลายแยกแยะ ทำสังฆกรรม จนมีปัญหาในสังฆมณฑล มันเป็นเพราะเหตุใดล่ะ มันเป็นเพราะพันธุกรรมของเขาใช่ไหม

พันธุกรรมเขาตั้งของเขามาอย่างนั้น เขาตั้งใจ เขาจงใจของเขามาอย่างนั้น มาบวชในพระพุทธศาสนาเหมือนกัน มาเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน เป็นญาติทางสายเลือด เป็นญาติทั้งทางธรรม เป็นญาติทุกๆ อย่างเลย แต่มันก็มีปัญหาขึ้นมา นี่เวรกรรมมันมีของมันมา เราต้องศึกษา แล้วเราพยายามแก้ไขของเรา

ถ้าแก้ไขของเราเห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัยนะ โลกนี้เราอยู่กันด้วยปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีวิตไง แต่ด้วยความเห็นผิดไง เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นความจริงของเราไง ดูสิ ดูหอย ดูกุ้ง มันมีเปลือกมันนะ มันไม่มีเปลือก ชีวิตมันอยู่กันไม่ได้หรอก หอยมันมีเปลือกมัน มันมีกระดองมันเพื่อการดำรงชีวิตของมัน

ปัจจัยเครื่องอาศัย อาศัยเพื่อดำรงชีวิต ทีนี้เราไปมองปัจจัยเครื่องอาศัยที่เป็นชีวิต เราไม่ได้มองว่าชีวิตเป็นชีวิตไง เรามองว่าปัจจัยเครื่องอาศัยที่เป็นชีวิต แต่เพราะมีชีวิตเราอาศัยปัจจัยเครื่องอาศัยนั้นต่างหาก หอย มันอาศัยเปลือกหอยเพื่อการดำรงชีวิตของมันใช่ไหม กุ้ง มันต้องมีเปลือกของมัน ถ้ามันไม่มีเปลือกของมันมันอยู่ของมันไม่ได้หรอก มันตายของมัน

ปัจจัยเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้ดำรงชีวิต เราเห็นมีความทุกข์ความยากทางโลก เพราะเราขาดแคลน กระแสทางสังคมบีบคั้นมา สังคมรังแกเรา ทุกคนรังแกเรา เราเจ็บช้ำน้ำใจ เจ็บช้ำน้ำใจนั่นคือโลกธรรม ๘ แต่ความดำรงชีวิตคือปัจจัยเครื่องอาศัย เราเห็นว่าทางโลกมันเดือดร้อน เราพยายามมาประพฤติปฏิบัติกัน หาทางร่มเย็นเป็นสุขของธรรมๆ แต่เวลาเราร่มเย็นเป็นสุขของธรรม

เราบวชมาเห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติ ทำซ้ำๆ ข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นเปลือก ข้อวัตรปฏิบัติเหมือนเปลือกหอย หอยมันอยู่ได้เพราะเปลือกของมันใช่ไหม ถ้ามันมีเปลือกของมัน ถ้าเปลือกแข็งแรง เปลือกเข้มแข็ง มันจะปลอดภัย มันจะมีชีวิตอยู่รอดได้โดยธรรมชาติของมัน แต่ถ้าเปลือกอ่อนแอ เปลือกเป็นโรคเป็นภัย มันจะทำให้เชื้อโรคนี้ หรือภัยพิบัติเข้าไปถึงเนื้อหอยได้

นี่ก็เหมือนกัน ข้อวัตรปฏิบัติ เราทำซ้ำๆ เพื่ออะไร เพราะการทำซ้ำ มันมีหัวใจ หัวใจคือจิตของเรา การจะให้จิตใจเราเข้มแข็ง ถ้าจิตใจเราเข้มแข็ง ข้อวัตรนั่นน่ะ ทำซ้ำๆๆ ดูสิ คนออกกำลังกาย เวลาเขาออกกำลังกายบ่อยๆ ครั้งเข้า ร่างกายเขาแข็งแรงเพราะอะไร เขาออกกำลังกายโดยความสม่ำเสมอของเขา ร่างกายจะปลอดจากโรค ร่างกายจะแข็งแรง ทุกอย่างจะเป็นไปเห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน ข้อวัตรปฏิบัติ ในการภาวนาของเรา เรามาภาวนากัน เรามาอยู่วัดอยู่วากัน สิ่งนี้มันเป็นเปลือก เพราะเราต้องการหัวใจของเรา เราต้องการพัฒนาหัวใจของเรา ถ้าเราพัฒนาหัวใจของเรา สิ่งนั้นที่เราทำ มันเป็นเหมือนอาหาร มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีวิต ข้อวัตรปฏิบัติก็เหมือนกัน มันเป็นการฝึกใจขึ้นมาไง มันเป็นการฝึกใจขึ้นมาให้ใจมันมีกติกาของมัน

ดูสิ เวลาเราไปออกกำลังกาย ถึงเวลาต้องออกกำลังกาย เราต้องไปละ เราต้องวิ่ง เราต้องพัฒนาร่างกายของเรา แล้วมันขี้เกียจไหมล่ะ คนเรา ๑. ขี้เกียจ ๒. เพราะว่าเราไม่มีเวลา เราไม่มีเวลาทุกอย่างไม่มีเวลา นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตใจของเรา เราทำข้อวัตรขึ้นมามันเหนื่อยล้า มันอืดอาด มันจืดจาง แต่ถ้าเราฝืน เราพยายามทำของมัน เหมือนเราทำบุญกุศลของเราบ่อยครั้งเข้า จนมันเป็นจริตนิสัย

คนสวดมนต์สวดพร คนนั่งภาวนา ถ้าไม่ทำมันขาดอะไรไปอย่างไม่รู้นะ มันขาดอะไรไปบางอย่าง เหมือนทำไม่ครบ นี่ไง กิเลสซ้อนกิเลส ถ้ายังไม่ได้ภาวนานอนไม่ได้ พอก่อนจะนอนขึ้นมานั่ง ๒ นาที พุทโธๆ เสร็จแล้วได้นั่งแล้ว นอนแล้วเห็นไหม นี่ไงมันหลอกได้ พอกิเลสมันหลอก นี่ก็เหมือนกัน เราออกกำลังกาย เราก็ทำให้ครบเวลาของเรา

นั่งภาวนาก็เหมือนกัน เราพยายามตั้งใจของเรา เราพยายามทำของเรา ทำซ้ำๆๆ คำว่าทำซ้ำ วิธีการไม่ใช่เป้าหมาย วิธีการกระบวนการของมัน วิธีการกระบวนการของการพัฒนา กระบวนการของจิต มันต้องมีพัฒนาการของมันเห็นไหม การทำซ้ำๆ กระบวนการของมัน เราจะฝึกของเรา เดินจงกรมนั่งสมาธิต้องขยันหมั่นเพียร มันขี้เกียจ มันเหนื่อยล้า มันไม่อยากทำ มันไม่ต้องการทำเห็นไหม

พอไม่ต้องการทำ เหมือนกับการออกกำลังกาย ออกกำลังกายทั้งปีเลย สุดท้ายมานอนอยู่ ๒-๓ วัน เอาละอ้วนฉุขึ้นมาอีกละ ทำมาตลอดเวลานะ แต่เวลาเรามาเว้นวรรคหน่อยเดียวเท่านั้นแหละ ความสิ่งต่างๆ มันจะทับถมมา นี่ก็เหมือนกันในการภาวนามันจะขาดช่วงไง การทำสม่ำเสมอ การทำเสมอต้นเสมอปลาย การกระทำของเรา ถ้าประเสริฐขึ้นมา ประเสริฐที่นี่

ถ้าจิตใจจะเข้มแข็ง มันทำขึ้นมามันเห็นผลนะ คนเรานี่เห็นผลนะ เวลาร่างกายเราอ่อนแอ การเคลื่อนไหว การขยับ มือเท้าจะขยับโดยที่ไม่ได้ดั่งใจเลย แต่ถ้าเข้มแข็งขึ้นมา โอ้โฮ! มันปลิวลมนะ มันไปได้โดยธรรมชาติเลย สิ่งนี้มันเป็นเพราะเหตุใดล่ะ เพราะร่างกายแข็งแรงใช่ไหม จิตใจก็เหมือนกัน จิตใจมีการทำซ้ำ มีการพุทโธ มีการปัญญาอบรมสมาธิ จิตใจมีการพัฒนาการของมัน เรารู้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกตรงนี้ มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นรู้จำเพาะตน มันรู้ชัดเจนขึ้นมา ถ้ามันรู้ขึ้นมาอย่างนี้ นี่สัจธรรม การประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่พุทธศาสนา ปฏิเสธ เทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหมด ปฏิเสธ รูป รส ทั้งหมด ปฏิเสธทุกๆ อย่างทั้งหมดเลย ให้กลับมาที่ใจของตัว

ในลัทธิศาสนาอื่นๆ เขายังมีรูปเคารพของเขา เขายังมีที่พึ่งพาของเขา ให้ศาสดาของเขาเป็นผู้ตัดสิน แต่พุทธศาสนาไม่ใช่ พุทธศาสนาการกระทำของเรา จิตใจเราพัฒนาขึ้นมานี่ มันรู้ของมันนะ เรารู้ของเรา แต่รู้ของเรามันก็เหมือนเด็กๆ ดูเด็กๆ สิ เวลาเรามีลูกอ่อนนะ เวลาลูกอ่อนถามปัญหาเราตอบไม่ได้นะ เด็กเล็กๆ ไร้เดียงสานี่ เวลามันพูดกับพ่อแม่ พ่อแม่อึ้งนะ ตอบไม่ได้เลย เป็นเพราะเหตุใดล่ะ

เด็กมันไร้เดียงสาของมัน มันก็พูดตามสไตล์ของมัน จิตใจที่ไร้เดียงสา เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไป มันมีความรู้ความเห็นของมัน มันยังไร้เดียงสาอยู่ มันยังไม่เข้าใจหรอกว่า สังคมนี่โหดร้ายนัก สังคมสวมหน้ากากเข้าหากัน เราต้องมีสติปัญญาของเรา ไม่ใช่ว่าสังคมนี่บีบคั้นเรา สังคมนี่โหดร้ายกับเรา เราจะประชดสังคม ไม่ใช่! สังคมนี่โหดร้ายนัก สังคมนี่มันเป็นด้วยความฉ้อฉล มันเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว มันเป็นการเอารัดเอาเปรียบกัน

เวลาบอกว่าสังคมหมดศีลธรรม ศีลธรรม จริยธรรม นี่สังคมไทย สังคมพุทธศาสนา มันกล่อมเกลาหัวใจของคน กล่อมเกลาหัวใจของคน แต่หัวใจของคนมันได้รับการฉ้อฉลในสังคม จนมันเจ็บช้ำ จนมันไม่ไว้ใจในสังคมไง ทุกอย่างก็ไว้ใจไม่ได้ แต่เราก็ต้องไว้ใจตัวเราก่อน เรามีศีลธรรมของเรา เรามีจริยธรรมของเรา

ถ้าสังคมมันโหดร้ายนัก สังคมมันบีบคั้นเรา สังคมมันทำลายเรา จิตใจที่เวลาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจยังไร้เดียงสานะ กิเลสมันร้ายนัก! กิเลสมันโหดร้ายนัก! เวลาเราพัฒนาจิตใจเราพัฒนาขึ้นไป กิเลสมันสร้างภาพ พญามาร เวลามารมันแสดงตนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามารมันแสดงธรรม มารมันอยู่ในหัวใจของเรา บอกว่า ว่างๆ ว่างๆ มีปัญญาสภาวะ เพราะการปฏิบัติของเรา

อวิชชามันเป็นมาร พญามารมันครอบอยู่ในหัวใจของเรา มันมีอยู่กับเราอยู่แล้ว แล้วเราไปศึกษาขึ้นมา เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลากิเลสมันแสดงตนของมันออกมา มันเป็นธรรมะของมาร มารมันแสดงสัจธรรมออกมา แล้วจิตใจของเรามันไร้เดียงสา ไปเจอสภาวะต่างๆ มันก็เคลิบเคลิ้มไปเป็นธรรมดา

เวลาลูกหลานของเรา มันยังไม่โตขึ้นมา เราต้องดูแลมัน เพื่อเราจะปล่อยให้สังคมเอาเปรียบมันไม่ได้ เพราะลูกหลานของเรา เราต้องดูแลลูกหลานของเรา จิตใจของเรา เรามีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ คอยแนะนำ สัทธิวิหาริก คือว่าเป็นสัจธรรม เป็นธรรมทายาท เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสด้วยกัน เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสเห็นไหม ผู้ที่พัฒนาขึ้นมา ผู้ที่ก้าวเดินไปแล้ว จิตใจจะเข้มแข็ง จิตใจจะเผชิญกับพญามาร

การที่มารมันหลอกลวง การที่มารมันฉ้อฉล การที่มารมันกระทำในหัวใจของมัน ครูบาอาจารย์ท่านเคยผ่านกิริยาอย่างนั้นๆ มา พอผ่านกิริยาอย่างนั้นมาเห็นไหม ผู้ที่ผ่านกระบวนการนั้นไปแล้ว กระบวนการวิธีการของจิตที่พัฒนาของมันขึ้นไป ถ้าพัฒนาขึ้นไป จะมาชี้นำกัน จะมาสั่งสอนกันนี่สังคมของเรา สังคมของเราต้องเข้มแข็ง พอเข้มแข็งขึ้นมา กระบวนการจากการทำซ้ำๆ การทดสอบตรวจสอบในข้อวัตรปฏิบัติ

ในการนั่งสมาธิภาวนา คือการทำซ้ำโดยกิริยา โดยกิริยาที่จิตใจมันจะมีความสงบใจเข้ามาด้วยหรือเปล่า ถ้ามีจิตใจสงบเข้ามาไม่ได้ จิตใจสงบเข้ามา เป็นสัมมาสมาธิ เป็นจิตใจไร้เดียงสาเพราะยังไม่รู้สิ่งใดๆ เลย ปุถุชน กัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนนี่จะออกเป็นโสดาปัตติมรรค ถ้าโสดาปัตติมรรคมันยังแยกแยะขึ้นไป พิจารณาขึ้นไป พัฒนาการของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ร่างกายที่มันอ่อนแอ ร่างกายที่มันเป็นไปต่างๆ มันอ่อนแอ ถ้ามันพัฒนามันขึ้นมา มันก็แข็งแรงขึ้นมา

จิตใจที่มันมีกระบวนการประพฤติปฏิบัติ มีกระบวนการทำซ้ำๆ ขึ้นมา มันเป็นเครื่องวัด มันเป็นเปลือกหอย มันเป็นกิริยา มันเป็นการกระทำให้จิตใจนี้มันหดตัวเข้ามา ให้ใจหดตัวเข้ามาเป็นนามธรรม ให้สัมมาสมาธิเป็นเรื่องของจิตล้วนๆ เป็นเรื่องของการกระทำล้วนๆ เป็นฐีติจิตล้วนๆ เป็นสิ่งที่พญามารมันครอบคลุมอยู่ พอพญามารมันครอบคลุมจิตขึ้นมา มันมีเวรมีกรรมขึ้นมา มันก็เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา มันก็เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยร่างกายนะ หัวใจก็เจ็บช้ำขึ้นมาอีก

แต่เวลาจิตใจมันปล่อยร่างกายขึ้นมาเป็นอิสรภาพ ปล่อยร่างกายขึ้นมาจึงเป็นสัมมาสมาธิ ไม่ปล่อยร่างกายขึ้นมาจิตเป็นสัมมาสมาธิไม่ได้ แต่มันปล่อยโดยสมถะ พอปล่อยโดยสมถะ กระบวนการของมัน มันปล่อยขึ้นมามันยังไร้เดียงสา พอไร้เดียงสามันยังเข้าไปเผชิญกับพญามาร พอเข้าไปเผชิญกับกิเลสของตัว เข้าไปเผชิญกับกิเลสตัณหาทะยานอยากของตัวเอง

เพราะตัณหาทะยานอยากมันเป็นอวิชชา มันครอบงำจิตใจนี้มา มันทำให้จิตใจนี้เกิดมาเป็นเราๆ กันอยู่นี้ไง แล้วสัจธรรมเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป วิธีการกระบวนการการทำซ้ำขึ้นไป จิตใจมันสงบเข้ามา จิตใจสงบเข้ามามันย้อนกลับเข้ามาทำลายตัวมัน ทำลายอวิชชา ทำลายพญามารด้วยการขัดเกลา ด้วยการวิปัสสนาญาณ จิตใจที่ไม่ได้ไร้เดียงสา แต่มันได้ประสบการณ์การทำซ้ำของจิต

กระบวนการทำซ้ำของร่างกาย กระบวนการทำซ้ำของการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา กระบวนการทำซ้ำของธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ กระบวนการทำซ้ำของวิปัสสนาญาณ กระบวนการทำซ้ำของจิตใจที่มันเกิดขึ้นมาในหัวใจของมันขึ้นมา กระบวนการของมันเกิดขึ้นมาเห็นไหม กระบวนการที่เกิดขึ้นมา กระบวนการไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมายของมันจะเกิดขึ้นมาอีกนะ

นี่พูดถึงถ้าจิตใจเรามีความเข้มแข็งขึ้นมา วันนี้วันพระ วันพระเราฟังธรรมๆ เพื่อปลุกเร้าหัวใจของเรานะ เราอยู่สังคม ใช่ สังคมเป็นหมู่ชนรวมกันก็เป็นสังคม จริตนิสัยมันแตกต่างหลากหลาย นั่นก็เป็นสังคมสังคมหนึ่ง เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สังคมของกิเลส สังคมของตัณหาทะยานอยาก สังคมในหัวใจเราไง

นั่งอยู่คนเดียวนี่ ความคิด ๑๐๘ นั่งอยู่คนเดียวนี่ กิเลสกระทืบเอาๆ ไม่มีใครทำลายเราเลย กิเลสของเราในหัวใจเราทำร้ายเราเอง กระบวนการของสังคมอย่างหนึ่งนะ เราเป็นหมู่คณะกัน เราอยู่ด้วยกัน สิ่งใดเราให้อภัยต่อกัน เวลากิเลสของเรา เรานั่งสมาธิภาวนาของเรา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาทำร้ายเรา เราจะให้อภัยกับใคร เรารู้ได้อย่างไร เราไม่ได้ให้อภัยกับใครเลย เราหัวฟัดหัวเหวี่ยงเลย

แต่ถ้าเราเห็นกระบวนการของมัน มีสติปัญญาขึ้นมา กระบวนการของมัน มันเห็นแต่สังคมภายนอก เห็นสังคมในหัวใจของเรา แล้วสังคมมันเกิดตายๆ เป็นปัจจยาการ เกิดตายๆ อารมณ์ความเกิดตายในความคิดมันแตกต่างหลากหลาย มันต่อสู้กันในหัวใจของเรา เรามีสติปัญญา เราแยกแยะของเรา เราทำกระบวนการของเราขึ้นมา นี้ไง โอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม

เราไปศึกษาพระไตรปิฎก เราไปศึกษาแต่กระบวนการของสังคมข้างนอก กระบวนการของโลก เราจะส่งโลกใบนี้ต่อให้กับลูกหลานของเรา เราจะส่งโลกนี้ สังคมแวดล้อมที่ดีงามต่อลูกหลานของเรา แต่เราไม่ส่งสังคมในหัวใจของเราสู่ สัทธิวิหาริกเลย เราไปส่งกระบวนการสังคมในหัวใจที่มรรคญาณมันเกิดขึ้น เวลามันเกิดขึ้นของการกระทำของจิต มันจะส่งกระบวนการของเราสู่ลูกหลานเรายังไง

นี่ไง เราถึงเคารพครูบาอาจารย์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเราไง เราเคารพหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ที่ท่านพยายามค้นคว้า พยายามกระเสือกกระสนขึ้นมา จนท่านเอาตัวรอดได้ แล้วท่านเป็นอาจารย์ของเรา เป็นผู้ชี้นำของเราขึ้นมา ทำไมเราไม่เคารพบูชา เราก็เคารพบูชาของเราเห็นไหม เพราะท่านเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของเรา ท่านชี้นำหัวใจของเราได้ ท่านสามารถเปิดช่องทางให้หัวใจเราผ่านพ้นไปได้

นี่ก็เหมือนกัน สังคมที่เขารังแกกัน สังคมที่คนมันช่วยเหลือกัน นั่นก็เป็นสังคมที่เป็นอำนาจวาสนาของโลกที่เรายังมีการช่วยเหลือกัน แต่การช่วยเหลือทางจิต หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า

“หมู่คณะให้ภาวนามานะ การแก้จิตมันแก้ยากนะ”

เวลาสังคมเขาเห็นการรังแกกัน เรายังไม่เข้าใจ เรายังเป็นเหยื่อเขาเลย เวลากิเลสมันหลอกลวงเรานี่ กิเลสมันเหยียบย่ำเรา ใครจะรู้ทันมัน

“การแก้จิตแก้ยากนะ ให้ปฏิบัติมา ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าตายไปแล้วไม่มีใครแก้นะ” ผู้เฒ่าตายไปแล้วไม่มีใครแก้นะ!!! เอวัง